
‘ไฟที่ไม่มีใครควบคุมได้’: UN เตือนภัยสงครามอิหร่าน-อิสราเอลที่ลุกลาม
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 12:00 น. หน่วยงาน Peace and Security ของสหประชาชาติ (UN) ได้เผยแพร่รายงานข่าวที่น่าตกใจ โดยใช้คำเตือนที่รุนแรงว่า สถานการณ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลกําลังลุกลามเหมือน “ไฟที่ไม่มีใครควบคุมได้” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงของสงครามที่จะขยายวงกว้างออกไป
ภูมิหลังของความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและอิสราเอลมีความตึงเครียดมาอย่างยาวนาน โดยมีชนวนเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งความขัดแย้งทางอุดมการณ์ ประเด็นเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในภูมิภาคที่ต่อต้านอิสราเอล และเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ความตึงเครียดได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากการโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อต้นเดือนเมษายน 2567 ซึ่งอิหร่านกล่าวหาว่าอิสราเอลเป็นผู้รับผิดชอบ และได้มีการตอบโต้ด้วยการส่งโดรนและขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก่อนที่อิสราเอลจะตอบโต้กลับอย่างมีเป้าหมายในดินแดนอิหร่าน
คำเตือนที่มาจาก UN
รายงานของ UN ชี้ให้เห็นว่า การโจมตีตอบโต้กันไปมาระหว่างอิหร่านและอิสราเอลได้ยกระดับความขัดแย้งไปสู่อีกขั้นที่อันตรายอย่างยิ่ง การที่ทั้งสองประเทศไม่สามารถหาทางออกทางการทูตและยังคงเดินหน้าใช้วิธีการทางการทหารในการตอบโต้กันนั้น เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง สหประชาชาติกังวลว่า หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารเต็มรูปแบบ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคตะวันออกกลาง และอาจขยายวงกว้างออกไปจนเกินกว่าจะควบคุมได้
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
หากสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอลปะทุขึ้นจริง ผลกระทบที่ตามมานั้นจะรุนแรงและซับซ้อนอย่างมหาศาล ไม่เพียงแต่ต่อประชาชนทั้งสองประเทศ แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคและทั่วโลกอีกด้วย
- วิกฤตมนุษยธรรม: ความขัดแย้งทางทหารจะก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล ประชาชนจำนวนมากอาจต้องพลัดถิ่นฐาน และอาจเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้าย
- ความไม่มั่นคงทางภูมิภาค: ประเทศอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้ เช่น ประเทศในกลุ่มพันธมิตรของอิหร่าน หรือประเทศที่อิสราเอลมีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย อาจถูกดึงเข้าไปสู่ความขัดแย้ง ส่งผลให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: การปะทุของสงครามในภูมิภาคที่สำคัญเช่นตะวันออกกลาง จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของราคาน้ำมันที่อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนทั่วโลก
- ภัยคุกคามด้านความปลอดภัย: ความขัดแย้งอาจเพิ่มความเสี่ยงของการก่อการร้าย และการใช้กำลังที่ไม่ใช่รัฐ อาจมีความพยายามในการใช้ประโยชน์จากความสับสนวุ่นวายนี้เพื่อเป้าหมายของตนเอง
เสียงเรียกร้องจากสหประชาชาติ
สหประชาชาติได้ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความยับยั้งชั่งใจขั้นสูงสุด และเร่งหาทางออกทางการทูตเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ UN เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาและการทูตในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการอำนวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการพูดคุยและลดทอนความตึงเครียด
ความหวังอยู่ที่การทูต
ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ ความหวังเดียวที่จะหลีกเลี่ยงหายนะคือการที่ทุกฝ่ายตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ และพร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจาแก้ไขปัญหา การใช้ความรุนแรงไม่เคยนำมาซึ่งสันติภาพที่ยั่งยืน แต่มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดและความสูญเสียมากยิ่งขึ้น สังคมโลกจึงต้องร่วมกันส่งเสียงเรียกร้องให้มีการยุติความรุนแรง และให้การทูตมีโอกาสได้ทำงานเพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาคที่กำลังเปราะบางนี้
นี่เป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนและต้องการความรอบคอบจากทุกฝ่าย เพื่อให้แน่ใจว่า “ไฟที่ไม่มีใครควบคุมได้” นี้ จะไม่ลุกลามจนยากที่จะดับลง และนำพาโลกไปสู่ความหายนะที่ไม่ควรเกิดขึ้น
‘A fire no one can control’: UN warns of spiralling Iran-Israel war
AI ได้ให้ข่าวสารแล้ว
คำถามต่อไปนี้ถูกใช้เพื่อรับคำตอบจาก Google Gemini:
Peace and Security ได้เผยแพร่ ‘‘A fire no one can control’: UN warns of spiralling Iran-Israel war’ เมื่อเวลา 2025-06-20 12:00 น. กรุณาเขียนบทความโดยละเอียดเกี่ยวกับข่าวนี้ รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ในภาษาที่อ่อนโยนและเข้าถึงง่าย กรุณาตอบกลับด้วยบทความภาษาไทยเท่านั้น