
สหรัฐฯ เตรียมขยายฐานภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วน ภายใต้มาตรา 232 กระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก
โตเกียว, 26 มิถุนายน 2568 – องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา (U.S. Department of Commerce) ได้ประกาศกระบวนการพิจารณาเพิ่มเติมสินค้าประเภทชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะเข้าข่ายการเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act of 1962 ซึ่งอาจส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
มาตรา 232 คืออะไร?
มาตรา 232 เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการพิจารณาและดำเนินการทางการค้า หากพบว่าการนำเข้าสินค้าบางประเภทเข้ามากเกินไปจนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ โดยได้มีการนำมาใช้กับสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอดีต และล่าสุดมีการพิจารณาขยายขอบเขตไปยังภาคยานยนต์
ทำไมสหรัฐฯ จึงพิจารณาเก็บภาษีชิ้นส่วนยานยนต์?
แม้ว่ารายงานของ JETRO จะไม่ได้ลงรายละเอียดถึงเหตุผลเบื้องหลังที่ชัดเจน แต่โดยทั่วไปแล้ว การพิจารณาภายใต้มาตรา 232 มักอ้างอิงถึงปัจจัยด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งในกรณีของยานยนต์ อาจเกี่ยวข้องกับประเด็นต่อไปนี้:
- การพึ่งพาแหล่งผลิตจากต่างประเทศ: สหรัฐฯ อาจต้องการลดการพึ่งพาการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศคู่แข่ง หรือประเทศที่มีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
- การส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ: การเก็บภาษีนำเข้าจะทำให้ต้นทุนสินค้าจากต่างประเทศสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตในสหรัฐฯ มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
- การรักษาฐานการผลิต: ในบริบทของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง สหรัฐฯ อาจต้องการให้แน่ใจว่าการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ ยังคงอยู่ในประเทศ
กระบวนการใหม่ที่ประกาศคืออะไร?
การประกาศนี้เป็นการเปิดเผย “กระบวนการ” การพิจารณาเพิ่มเติมรายการสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะเข้าข่ายการเก็บภาษี โดยไม่ได้ระบุรายชื่อสินค้าที่ชัดเจนในขณะนี้ แต่เป็นการบ่งชี้ว่ากระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะมีขั้นตอนที่ชัดเจนในการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น:
หากมาตรการนี้ถูกนำมาใช้จริง อาจส่งผลกระทบในหลายมิติ:
- ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น: ผู้ผลิตรถยนต์ที่ต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ จะมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อไปยังราคาขายปลีกที่ผู้บริโภคต้องจ่าย
- การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน: บริษัทผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนอาจต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน โดยอาจหันไปหาแหล่งผลิตภายในสหรัฐฯ มากขึ้น หรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ
- ความตึงเครียดทางการค้า: มาตรการนี้อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศที่พึ่งพาการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังสหรัฐฯ
- การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV): เนื่องจากชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ EV เช่น แบตเตอรี่ มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก มาตรการนี้จึงอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาและราคาของรถยนต์ EV ในอนาคต
สำหรับประเทศไทยและผู้ประกอบการไทย:
แม้ว่ารายงานจะไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย แต่ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานยานยนต์โลก ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา หรือส่งออกไปยังประเทศที่ผลิตรถยนต์สำหรับตลาดสหรัฐฯ ควรติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อธุรกิจของตน
ขั้นตอนต่อไปที่ต้องจับตา:
- การประกาศรายชื่อสินค้าที่จะถูกพิจารณา: เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทใดบ้างที่จะถูกนำมาพิจารณา
- กระบวนการรับฟังความคิดเห็น: ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะมีโอกาสแสดงความคิดเห็น ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
- การตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ: ท้ายที่สุดแล้ว การตัดสินใจว่าจะมีการเก็บภาษีจริงหรือไม่ และในอัตราเท่าใด จะขึ้นอยู่กับรัฐบาลสหรัฐฯ
การประกาศของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนถึงแนวโน้มการใช้เครื่องมือทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์โลกครั้งสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมและปรับตัวของผู้ประกอบการทั่วโลก
米商務省、232条に基づく自動車部品関税の対象品目追加プロセス発表
AI ได้ให้ข่าวสารแล้ว
คำถามต่อไปนี้ถูกใช้เพื่อสร้างคำตอบจาก Google Gemini:
เวลา 2025-06-26 04:10 ‘米商務省、232条に基づく自動車部品関税の対象品目追加プロセス発表’ ได้รับการเผยแพร่ตาม 日本貿易振興機構 กรุณาเขียนบทความโดยละเอียดพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในรูปแบบที่เข้าใจง่าย กรุณาตอบเป็นภาษาไทย