
ธนาคารแห่งประเทศไทยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์การลดดอกเบี้ยในอนาคต
ข่าวจาก JETRO (องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น) ฉบับวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 เวลา 04:50 น. รายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ตามที่ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่ามีโอกาสที่จะได้เห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงเวลาต่อจากนี้
การตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรอบคอบของ ธปท. ในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก
เหตุผลเบื้องหลังการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย:
แม้ว่าจะมีเสียงคาดการณ์เกี่ยวกับการลดดอกเบี้ย แต่การที่ ธปท. เลือกคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในรอบนี้ อาจมีเหตุผลหลายประการ เช่น:
- การประเมินอัตราเงินเฟ้อ: แม้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนัก แต่การคงอัตราดอกเบี้ยไว้ยังคงเป็นการส่งสัญญาณเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา และป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้นในอนาคต
- การพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจไทยในขณะนั้นอาจจะยังไม่ได้อยู่ในสภาวะที่เปราะบางจนเกินไป ทำให้ ธปท. ยังคงต้องการเครื่องมือทางการเงินบางส่วนไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ความสมดุลของการดำเนินนโยบาย: ธปท. อาจกำลังพิจารณาความสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ กับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยต่ำเกินไป เช่น การสร้างฟองสบู่ในสินทรัพย์ หรือการส่งสัญญาณที่ไม่เหมาะสมต่อตลาด
- การรอข้อมูลเพิ่มเติม: ธปท. อาจต้องการรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ตัวเลขการบริโภค การลงทุน หรือการส่งออก เพื่อประกอบการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้นในการประชุมครั้งต่อไป
มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ต่อการลดดอกเบี้ยในอนาคต:
ข่าวนี้ยังระบุถึงการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่า “มีโอกาสที่จะได้เห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงเวลาต่อจากนี้” ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองของตลาดต่อสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจจะต้องการแรงสนับสนุนเพิ่มเติม หรือเป็นผลมาจากการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ ทั่วโลก
ปัจจัยที่อาจนำไปสู่การลดดอกเบี้ยในอนาคต ได้แก่:
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจ: หากข้อมูลเศรษฐกิจแสดงแนวโน้มการชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้น การลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
- ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ: หากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำและไม่น่ากังวล การลดดอกเบี้ยก็จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- แรงกดดันจากภายนอก: หากธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจหลักๆ ทั่วโลกเริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธปท. อาจต้องพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามไปด้วย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเพื่อดึงดูดการลงทุน
- นโยบายการคลัง: การประสานนโยบายระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลังก็เป็นปัจจัยสำคัญ หากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง ธปท. อาจไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยทันที
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชน:
- ภาคธุรกิจ: การคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.75% ยังคงเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งยังคงเอื้อต่อการบริหารต้นทุนทางการเงินสำหรับภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าอาจมีการลดดอกเบี้ยในอนาคต อาจส่งผลให้ธุรกิจชะลอการตัดสินใจลงทุน หรือรอจังหวะที่ดอกเบี้ยต่ำลง
- ภาคประชาชน: สำหรับประชาชนทั่วไป การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับนี้ ยังคงส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับผู้ที่มีภาระหนี้สิน ดอกเบี้ยที่ทรงตัวไว้ยังคงเป็นภาระที่ต้องแบกรับ แต่หากมีการลดดอกเบี้ยในอนาคต ก็จะเป็นผลดีต่อผู้กู้ยืม
สรุป:
การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทยในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% เป็นการดำเนินการที่สะท้อนถึงความรอบคอบในการบริหารนโยบายการเงินท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดการณ์การลดดอกเบี้ยในอนาคต ชี้ให้เห็นว่าตลาดกำลังจับตาดูปัจจัยต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินของไทยต่อไป ซึ่งจะเป็นข่าวที่น่าจับตาสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางเศรษฐกิจทั้งภาคธุรกิจและประชาชนต่อไป
タイ銀行が政策金利1.75%に据え置き、エコノミストは今後の利下げを予想
AI ได้ให้ข่าวสารแล้ว
คำถามต่อไปนี้ถูกใช้เพื่อสร้างคำตอบจาก Google Gemini:
เวลา 2025-07-02 04:50 ‘タイ銀行が政策金利1.75%に据え置き、エコノミストは今後の利下げを予想’ ได้รับการเผยแพร่ตาม 日本貿易振興機構 กรุณาเขียนบทความโดยละเอียดพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในรูปแบบที่เข้าใจง่าย กรุณาตอบเป็นภาษาไทย