
“No-Code/Low-Code” ช่วยให้คุณทำอะไรได้บ้าง? ไขข้อข้องใจพร้อมข้อมูลเชิงลึกจาก NTT ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ของคุณ
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เวลา 15:00 น. สมาคมผู้ใช้งานโทรคมนาคมแห่งประเทศญี่ปุ่น (日本電信電話ユーザ協会 – Japan Telecommunications Users Association – JTUA) ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจในหัวข้อ “নোコード・ローコード開発で何ができるのか?” (เราจะทำอะไรได้บ้างด้วยการพัฒนาแบบ No-Code/Low-Code?) บทความนี้ได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับศักยภาพของการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ No-Code และ Low-Code ซึ่งเป็นแนวทางที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคดิจิทัลนี้ เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจถึงพลังและการใช้งานจริงของเทคโนโลยีนี้ได้อย่างชัดเจน เราได้รวบรวมข้อมูลสำคัญมาอธิบายในรูปแบบที่เข้าใจง่าย พร้อมเสริมด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
No-Code และ Low-Code คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?
ก่อนจะไปถึงสิ่งที่ทำได้ เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานกันก่อนครับ:
- No-Code (โนโค้ด): คือ การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือระบบต่างๆ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดโปรแกรมใดๆ เลย ผู้ใช้งานสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ด้วยการใช้เครื่องมือแบบลากและวาง (Drag-and-Drop) เลือกองค์ประกอบสำเร็จรูปมาประกอบกัน และตั้งค่าต่างๆ ผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายเหมือนกับการต่อเลโก้
- Low-Code (โลว์โค้ด): คือ การพัฒนาที่ใช้การเขียนโค้ดน้อยที่สุด หรืออาจจะเป็นการเขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มฟังก์ชันที่ซับซ้อนหรือปรับแต่งเฉพาะเจาะจงให้ตรงตามความต้องการที่มากขึ้น แต่ยังคงใช้เครื่องมือแบบภาพ (Visual Interface) เป็นหลักในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
ทำไม No-Code/Low-Code ถึงสำคัญ?
ในยุคที่ธุรกิจต้องการความคล่องตัวและสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่ต้องอาศัยนักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญสูงและใช้เวลานาน อาจไม่ตอบสนองต่อความต้องการได้ทันท่วงที No-Code/Low-Code จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการ:
- เร่งความเร็วในการพัฒนา: ทำให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันหรือโซลูชันทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
- ลดความซับซ้อน: ไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมเชิงลึก
- เพิ่มการมีส่วนร่วม: เปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นนักพัฒนา (เช่น ฝ่ายธุรกิจ หรือผู้ใช้งานจริง) สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์โซลูชันได้
- ลดต้นทุน: โดยทั่วไปแล้วจะมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาน้อยกว่าการพัฒนาแบบดั้งเดิม
เราจะทำอะไรได้บ้างด้วย No-Code/Low-Code? (ศักยภาพที่น่าทึ่ง!)
บทความจาก JTUA และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ชี้ให้เห็นว่า No-Code/Low-Code สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ครอบคลุมการทำงานในหลายมิติขององค์กร ดังนี้ครับ:
1. การสร้างแอปพลิเคชันทางธุรกิจ (Business Applications):
- แอปพลิเคชันสำหรับการจัดการภายใน: เช่น ระบบการอนุมัติคำขอ (Approval Workflows), ระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล (HR Tools) สำหรับการลา การเบิกค่าใช้จ่าย, ระบบการจัดการโครงการ (Project Management Tools) ที่ปรับแต่งได้ตามความต้องการ
- แอปพลิเคชันสำหรับลูกค้าสัมพันธ์ (CRM): สร้างระบบจัดการฐานข้อมูลลูกค้าที่ปรับแต่งได้ง่าย หรือสร้างหน้าฟอร์มสำหรับเก็บข้อมูลลูกค้าใหม่
- แอปพลิเคชันสำหรับการขายและการตลาด: สร้างแพลตฟอร์มสำหรับจัดการแคมเปญ, ติดตามลูกค้าเป้าหมาย, หรือสร้างหน้า Landing Page ที่สวยงามและใช้งานง่าย
ตัวอย่าง: บริษัทที่ต้องการระบบอนุมัติใบลาที่ไม่ซับซ้อน สามารถใช้แพลตฟอร์ม No-Code สร้างแอปพลิเคชันที่ให้พนักงานกรอกแบบฟอร์มการลา และส่งให้หัวหน้าอนุมัติผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอเอกสารกระดาษหรือพัฒนาโปรแกรมใหม่ทั้งหมด
2. การสร้างระบบอัตโนมัติ (Automation):
- การทำงานซ้ำๆ (Repetitive Tasks): เชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อทำงานอัตโนมัติ เช่น เมื่อมีอีเมลเข้ามา ก็ให้สร้างรายการในสเปรดชีต หรือเมื่อมีโพสต์ใหม่บนโซเชียลมีเดีย ก็ให้แจ้งเตือนไปยังกลุ่มทีม
- การประมวลผลข้อมูล: ตั้งค่าให้ระบบดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบที่ต้องการ
ตัวอย่าง: ทีมการตลาดสามารถตั้งค่าให้ระบบดึงข้อมูลยอดไลค์และคอมเมนต์จากโพสต์บนโซเชียลมีเดียทั้งหมด มารวมไว้ในแดชบอร์ดเดียวโดยอัตโนมัติทุกวัน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญได้ทันที
3. การสร้างเว็บไซต์และหน้า Landing Page:
- เว็บไซต์องค์กร: สร้างเว็บไซต์บริษัทที่สวยงามและตอบสนองต่อทุกอุปกรณ์ (Responsive) โดยไม่ต้องพึ่งพานักพัฒนาเว็บโดยตรง
- หน้า Landing Page สำหรับแคมเปญ: สร้างหน้าสำหรับโปรโมทสินค้า บริการ หรืออีเวนท์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมฟอร์มสำหรับเก็บข้อมูลผู้สนใจ
ตัวอย่าง: แผนกการตลาดสามารถสร้างหน้า Landing Page สำหรับโปรโมชั่นพิเศษได้อย่างรวดเร็ว โดยใส่รูปภาพ วิดีโอ และแบบฟอร์มลงทะเบียน โดยใช้เครื่องมือ No-Code ที่มีเทมเพลตสำเร็จรูป
4. การสร้าง Dashboard และรายงาน:
- การวิเคราะห์ข้อมูล: เชื่อมต่อกับแหล่งข้อมูลต่างๆ (เช่น ฐานข้อมูล, สเปรดชีต, เครื่องมือวิเคราะห์) เพื่อสร้างแดชบอร์ดที่แสดงภาพรวมของข้อมูลสำคัญ
- รายงานที่ปรับแต่งได้: สร้างรายงานที่ผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้ามาดูข้อมูลล่าสุดได้ตลอดเวลา
ตัวอย่าง: ผู้บริหารสามารถดูแดชบอร์ดที่แสดงยอดขายรายวัน ยอดคงคลัง หรือสถานะของโครงการต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นด้วย No-Code/Low-Code
5. การปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Process Improvement):
- การทำให้ง่ายขึ้น (Simplification): พลิกโฉมกระบวนการทำงานที่เคยยุ่งยาก ซับซ้อน ให้กลายเป็นระบบที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency): ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ลดข้อผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ
ตัวอย่าง: ทีมบริการลูกค้าสามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับบันทึกและติดตามปัญหาของลูกค้า ทำให้ทีมงานทุกคนเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน และแก้ปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
6. การพัฒนาต้นแบบ (Prototyping):
- ทดสอบแนวคิด: ใช้ No-Code/Low-Code ในการสร้างต้นแบบของแอปพลิเคชันหรือฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อทดสอบกับผู้ใช้งานจริงก่อนการลงทุนพัฒนาเต็มรูปแบบ
ใครคือผู้ใช้งานหลัก?
บทความจาก JTUA ตอกย้ำว่า No-Code/Low-Code ไม่ได้จำกัดเฉพาะนักพัฒนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง:
- Citizen Developers: บุคลากรในองค์กรที่ไม่ได้เป็นนักพัฒนา แต่มีความเข้าใจในกระบวนการทางธุรกิจและต้องการสร้างเครื่องมือเพื่อช่วยงานของตนเอง
- นักพัฒนา (Professional Developers): ใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อเร่งความเร็วในการพัฒนาส่วนที่ซ้ำซ้อน หรือสร้างแอปพลิเคชันที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เพื่อให้มีเวลาไปโฟกัสกับงานที่ต้องการทักษะเฉพาะทางมากขึ้น
- ฝ่ายธุรกิจ/ผู้ใช้งานจริง: สามารถมีส่วนร่วมโดยตรงในการสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเองได้มากขึ้น
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:
แม้ว่า No-Code/Low-Code จะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีบางสิ่งที่ควรพิจารณาเช่นกัน:
- ความซับซ้อนที่เกินขอบเขต: สำหรับแอปพลิเคชันที่มีความซับซ้อนมากๆ ต้องการประสิทธิภาพสูง หรือมีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก อาจยังต้องอาศัยการพัฒนาแบบดั้งเดิม (Traditional Coding) หรือใช้ Low-Code ควบคู่ไปกับการเขียนโค้ดเพิ่มเติม
- การควบคุมและการปรับแต่ง: บางครั้งเครื่องมือ No-Code/Low-Code อาจมีข้อจำกัดในการปรับแต่งรายละเอียดบางอย่างที่ลึกซึ้งมากๆ
- การบริหารจัดการแพลตฟอร์ม: องค์กรต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการแพลตฟอร์ม No-Code/Low-Code ที่ใช้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและไม่เกิดความซ้ำซ้อน
สรุป:
บทความ “নোコード・ローコード開発で何ができるのか?” จาก JTUA ได้เปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับพลังของ No-Code/Low-Code ที่สามารถช่วยให้องค์กรสร้างสรรค์โซลูชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเข้าถึงง่ายขึ้น ตั้งแต่การสร้างแอปพลิเคชันทางธุรกิจ ระบบอัตโนมัติ เว็บไซต์ ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและการปรับปรุงกระบวนการทำงาน เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของการพัฒนาซอฟต์แวร์ และเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีความต้องการสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับองค์กรได้อย่างแท้จริง การนำ No-Code/Low-Code มาใช้อย่างเข้าใจและวางแผน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการปรับตัวที่รวดเร็วครับ
AI ได้ให้ข่าวสารแล้ว
คำถามต่อไปนี้ถูกใช้เพื่อสร้างคำตอบจาก Google Gemini:
เวลา 2025-07-14 15:00 ‘ノーコード・ローコード開発で何ができるのか?’ ได้รับการเผยแพร่ตาม 日本電信電話ユーザ協会 กรุณาเขียนบทความโดยละเอียดพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในรูปแบบที่เข้าใจง่าย กรุณาตอบเป็นภาษาไทย