
สหภาพยุโรปเผชิญแรงกดดัน: ภาคอุตสาหกรรมยุโรปเรียกร้องให้ทบทวนนโยบายกำหนดสเปคกลาง
การเผยแพร่บทความโดย JETRO เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 เวลา 07:20 น. นำเสนอประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ทบทวนนโยบายการกำหนดมาตรฐานหรือสเปคสินค้ากลาง (Common Specifications) ที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
บทความนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของภาคอุตสาหกรรมยุโรปที่มีต่อแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งในระยะหลังได้ผลักดันนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นในการกำหนดมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเด็นหลักที่ภาคอุตสาหกรรมยุโรปต้องการให้ทบทวน:
- ภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น: การกำหนดสเปคกลางใหม่มักมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต การใช้วัสดุ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก โดยเฉพาะ SMEs (ธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลาง) อาจประสบปัญหาในการปรับตัวและแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้
- ความซับซ้อนและเวลาในการปรับตัว: การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการวิจัย พัฒนา และทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการปรับปรุงสายการผลิตให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่ หากกำหนดเวลาที่กระชั้นเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันและความต่อเนื่องของธุรกิจ
- ผลกระทบต่อการแข่งขันในระดับโลก: แม้ว่าเป้าหมายจะเป็นการส่งเสริมความยั่งยืน แต่หากสเปคกลางที่กำหนดขึ้นมีความเข้มงวดเกินกว่ามาตรฐานของประเทศคู่ค้าอื่น อาจทำให้สินค้าจากยุโรปสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น หรือไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
- การขาดความยืดหยุ่นและโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม: การกำหนดสเปคกลางที่ตายตัวเกินไป อาจจำกัดขอบเขตการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีหรือแนวทางการผลิตใหม่ๆ ที่อาจมีประสิทธิภาพหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
บริบทและแรงผลักดันเบื้องหลังนโยบายของคณะกรรมาธิการยุโรป:
คณะกรรมาธิการยุโรปมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการผลักดัน European Green Deal ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมในการทำให้ยุโรปเป็นทวีปที่ยั่งยืนและเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 นโยบายการกำหนดสเปคกลางเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ:
- ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดปริมาณของเสีย
- ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน: ผลักดันการใช้ซ้ำ การซ่อมแซม และการรีไซเคิลวัสดุ
- สร้างตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: กระตุ้นให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานความยั่งยืน
ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ:
บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าแรงกดดันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่ครอบคลุมภาคส่วนที่หลากหลาย เช่น:
- อุตสาหกรรมการผลิต: การเปลี่ยนแปลงในด้านวัสดุ การออกแบบ และกระบวนการผลิต
- อุตสาหกรรมยานยนต์: การกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษ และการใช้วัสดุที่ยั่งยืน
- อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์: การจัดการของเสียอิเล็กทรอนิกส์ และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- อุตสาหกรรมก่อสร้าง: การใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทิศทางในอนาคต:
การเรียกร้องให้ทบทวนนโยบายของภาคอุตสาหกรรมชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการหาจุดสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านความยั่งยืนกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม การเจรจาระหว่างคณะกรรมาธิการยุโรปและภาคอุตสาหกรรมจะเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายที่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงของภาคอุตสาหกรรมในยุโรป การปรับปรุงแนวทางการกำหนดสเปคกลางให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การให้เวลาที่เหมาะสมสำหรับการปรับตัว และการสนับสนุนทางการเงินหรือทางเทคนิคสำหรับ SMEs อาจเป็นแนวทางที่ช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในอนาคต.
AI ได้ให้ข่าวสารแล้ว
คำถามต่อไปนี้ถูกใช้เพื่อสร้างคำตอบจาก Google Gemini:
เวลา 2025-07-18 07:20 ‘欧州産業界、欧州委に対し共通仕様の導入方針の再検討を促す’ ได้รับการเผยแพร่ตาม 日本貿易振興機構 กรุณาเขียนบทความโดยละเอียดพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในรูปแบบที่เข้าใจง่าย กรุณาตอบเป็นภาษาไทย