เปิดเผยผลการสำรวจการเข้าถึงแบบเปิดในสถาบันอเมริกา: “Invest in Open Infrastructure” เผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ,カレントアウェアネス・ポータル


เปิดเผยผลการสำรวจการเข้าถึงแบบเปิดในสถาบันอเมริกา: “Invest in Open Infrastructure” เผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจ

กรุงเทพฯ, 10 กรกฎาคม 2568 – องค์กร “Invest in Open Infrastructure” (IOI) ได้ประกาศเผยแพร่ผลการสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเข้าถึงแบบเปิด (Open Access) ของสถาบันต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ผ่านทางเว็บไซต์ Current Awareness Portal (NDL) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับข่าวสารและแนวโน้มในวงการห้องสมุดและสารสนเทศ ผลการสำรวจนี้ให้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์การเข้าถึงแบบเปิดในสถาบันอเมริกา และสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้า ความท้าทาย และทิศทางในอนาคตของการผลักดันวารสารวิชาการและงานวิจัยให้เข้าถึงได้โดยเสรี

ความสำคัญของการเข้าถึงแบบเปิด (Open Access)

การเข้าถึงแบบเปิดเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมให้ผลงานวิจัยและองค์ความรู้ทางวิชาการสามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายในการสมัครสมาชิกหรือการลงทะเบียน การเข้าถึงแบบเปิดมีบทบาทสำคัญในการ:

  • เร่งการแพร่กระจายขององค์ความรู้: นักวิจัยทั่วโลกสามารถเข้าถึงและต่อยอดงานวิจัยได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดระยะเวลาในการค้นพบและนวัตกรรม
  • เพิ่มการมองเห็นและผลกระทบของงานวิจัย: งานวิจัยที่เข้าถึงได้แบบเปิดมีแนวโน้มที่จะถูกอ้างอิงและนำไปใช้ประโยชน์มากกว่า
  • ส่งเสริมความเท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูล: นักวิจัย นักศึกษา และประชาชนทั่วไปในประเทศกำลังพัฒนาหรือสถาบันที่มีงบประมาณจำกัด จะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลทางวิชาการได้มากขึ้น
  • สนับสนุนการวิจัยแบบเปิดและโปร่งใส: การเข้าถึงข้อมูลดิบและวิธีการวิจัยช่วยให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้

ภาพรวมผลการสำรวจจาก “Invest in Open Infrastructure”

ผลการสำรวจจาก IOI ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากสถาบันต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญดังนี้:

  • ระดับการยอมรับและการสนับสนุน: สำรวจว่าสถาบันต่างๆ มีนโยบายหรือกลยุทธ์ในการสนับสนุนการเข้าถึงแบบเปิดมากน้อยเพียงใด มีการจัดสรรงบประมาณ หรือมีโครงการที่ส่งเสริมการเข้าถึงแบบเปิดหรือไม่
  • รูปแบบการเข้าถึงแบบเปิดที่ใช้: สถาบันต่างๆ นิยมใช้โมเดลการเข้าถึงแบบเปิดรูปแบบใด เช่น โมเดลสีทอง (Gold OA) ที่ผู้เขียนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเผยแพร่ (Article Processing Charges – APCs) หรือโมเดลสีเขียว (Green OA) ที่ผู้เขียนฝากผลงานไว้ในคลังเก็บเอกสารของสถาบัน (Institutional Repository) หรือคลังเก็บเอกสารสาธารณะอื่นๆ
  • ความท้าทายที่พบเจอ: ระบุอุปสรรคสำคัญที่สถาบันต่างๆ เผชิญในการนำแนวปฏิบัติการเข้าถึงแบบเปิดมาใช้ เช่น ข้อจำกัดด้านงบประมาณ ความซับซ้อนของโมเดลการเผยแพร่ หรือการขาดความเข้าใจในหมู่บุคลากร
  • บทบาทของเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม: สำรวจการใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ ที่สนับสนุนการเข้าถึงแบบเปิด เช่น ระบบบริหารจัดการคลังเก็บเอกสาร หรือแพลตฟอร์มการเผยแพร่วารสารแบบเปิด
  • อนาคตของการเข้าถึงแบบเปิด: คาดการณ์แนวโน้มและทิศทางของการเข้าถึงแบบเปิดในอนาคต รวมถึงนโยบายใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น หรือรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุน

ข้อมูลสำคัญที่น่าสนใจจากผลการสำรวจ (คาดการณ์จากบริบททั่วไปของการสำรวจลักษณะนี้):

แม้จะยังไม่มีรายละเอียดที่เจาะจงจากลิงก์ที่ให้มา แต่โดยทั่วไปแล้ว การสำรวจเกี่ยวกับแนวปฏิบัติการเข้าถึงแบบเปิดในสถาบันอเมริกามักจะพบข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น:

  • การเพิ่มขึ้นของการสนับสนุน: มีแนวโน้มที่สถาบันต่างๆ จะให้การสนับสนุนการเข้าถึงแบบเปิดมากขึ้น ทั้งในระดับนโยบายและการจัดสรรงบประมาณ
  • ความนิยมของโมเดลสีเขียว: แม้โมเดลสีทองจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่โมเดลสีเขียวที่อาศัยคลังเก็บเอกสารของสถาบันยังคงเป็นทางเลือกที่สำคัญ เนื่องจากช่วยหลีกเลี่ยงภาระค่าใช้จ่าย
  • ความท้าทายด้านค่าใช้จ่าย: ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่ (APCs) ในวารสารโมเดลสีทองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับหลายสถาบัน โดยเฉพาะสถาบันขนาดเล็กหรือสถาบันที่มีงบประมาณจำกัด
  • ความสำคัญของทรัพยากรสนับสนุน: สถาบันจำนวนมากตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดหาทรัพยากรและเครื่องมือสนับสนุนบุคลากรในการจัดการและเผยแพร่งานวิจัยแบบเปิด
  • การเจรจาต่อรองกับสำนักพิมพ์: มีความพยายามในการเจรจาต่อรองกับสำนักพิมพ์เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายหรือสร้างรูปแบบความร่วมมือที่เอื้อต่อการเข้าถึงแบบเปิดมากขึ้น
  • บทบาทของโครงการริเริ่ม: โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น Scholarly Publishing and Academic Resources Coalition (SPARC) หรือ cOAlition S มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเข้าถึงแบบเปิด และอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสถาบันต่างๆ

ผลกระทบต่อวงการวิชาการไทย

ผลการสำรวจจาก “Invest in Open Infrastructure” นี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการวิชาการไทยเช่นกัน แม้ว่าบริบทของสหรัฐอเมริกาอาจแตกต่างจากไทยในบางแง่มุม แต่แนวโน้มและแนวปฏิบัติที่เกิดขึ้นในสถาบันชั้นนำของโลก สามารถเป็นบทเรียนและแนวทางในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์การเข้าถึงแบบเปิดของไทยได้:

  • การเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลว: สถาบันการศึกษาไทยสามารถศึกษาโมเดลและแนวปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงอุปสรรคที่สถาบันในอเมริกาเผชิญ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและเร่งการพัฒนา
  • การส่งเสริมการเข้าถึงงานวิจัยไทย: การนำแนวคิดการเข้าถึงแบบเปิดมาปรับใช้ จะช่วยให้งานวิจัยของนักวิจัยไทยสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก เพิ่มการมองเห็นและโอกาสในการร่วมมือ
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: การสำรวจนี้อาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนหรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศที่รองรับการเข้าถึงแบบเปิด เช่น คลังเก็บเอกสารของสถาบัน หรือแพลตฟอร์มการเผยแพร่วารสารแบบเปิด
  • การสร้างความตระหนักและการอบรม: การเผยแพร่ผลการสำรวจนี้ ควรมาพร้อมกับการให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญและวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าถึงแบบเปิดแก่คณาจารย์ นักวิจัย และบุคลากรสายสนับสนุน

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:

สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการสำรวจนี้ สามารถเข้าไปศึกษาได้ที่ Current Awareness Portal ของ National Diet Library (NDL) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งเผยแพร่ข่าวสารดังกล่าว หากมีข้อมูลรายละเอียดของผลการสำรวจเพิ่มเติม จะสามารถนำมาวิเคราะห์และอภิปรายได้อย่างมีประโยชน์ต่อวงการวิชาการไทยต่อไป

การผลักดันการเข้าถึงแบบเปิดถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตของการวิจัยและการศึกษา ที่เปิดกว้าง โปร่งใส และเท่าเทียม การสำรวจจาก “Invest in Open Infrastructure” นี้ เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน และวางแผนสำหรับอนาคตของการเข้าถึงองค์ความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


Invest In Open Infrastructure、米国の機関におけるパブリックアクセスの実践に関する調査結果を公開


AI ได้ให้ข่าวสารแล้ว

คำถามต่อไปนี้ถูกใช้เพื่อสร้างคำตอบจาก Google Gemini:

เวลา 2025-07-10 09:41 ‘Invest In Open Infrastructure、米国の機関におけるパブリックアクセスの実践に関する調査結果を公開’ ได้รับการเผยแพร่ตาม カレントアウェアネス・ポータル กรุณาเขียนบทความโดยละเอียดพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในรูปแบบที่เข้าใจง่าย กรุณาตอบเป็นภาษาไทย

Leave a Comment